นักวิชาการนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลกยัน กฎหมายควบคุมของไทยไม่สุดโต่ง

นักวิชาการนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลกยัน กฎหมายควบคุมของไทยไม่สุดโต่ง ชงปรับปรุงระบบในอนุญาตแยกร้านค้าปลีกกับร้านนั่งดื่ม มองนโยบายสุราก้าวหน้าลดข้อจำกัดในการผลิต ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และเกิดประโยชน์กับเกษตรกรได้จริง ชี้วิธีช่วยลดการบริโภคและผลกระทบจากการดื่มจำเป็นต้องใช้ มาตรการทางภาษี การจำกัดการโฆษณา และการควบคุมการเข้าถึงควบคู่กันไปด้วย

ดร.ภญ.อรทัย วลีวงศ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่าสาระสำคัญหลักจากการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ได้แก่ 1) ประเทศไทยถือว่ามีความสำเร็จในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสะท้อนจากปริมาณการบริโภคในรอบทศวรรษที่ผ่านมาที่ค่อนข้างคงที่และมีแนวโน้มลดลงในช่วงหลัง ทั้งที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น GDP ของประเทศสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปริมาณบริโภคของหลายประเทศในภูมิกาคเอเชียที่ไม่มีนโยบายแอลกอฮอล์จะพบว่ามีการบริโภคแอลกอฮอล์มีแนวโน้มสูงขึ้น 2) การพิจารณาการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อลดผลกระทบจากแอลกอฮอล์อาจแบ่งเป็นสามช่วงหลักตามห่วงโซ่การผลิตจนถึงหลังการบริโภค ได้แก่ การกำกับในการผลิต การกำกับในการขายหรือกระจายสินค้าซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการขายและการโฆษณา และการกำกับพฤติกรรมหลังการดื่มของนักดื่ม รัฐควรต้องพัฒนานโยบายให้ครอบคลุมในทุกขั้นตอนเพื่อลดผลกระทบผ่านกลไกต่าง ๆ
ดร.ภญ.อรทัยกล่าวอีกว่า 3) ผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้บริการแอลกอฮอล์ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ควรมีบทบาทในการลดผลกระทบของการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ได้แก่ มาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การเสียภาษี การจำกัดการส่งเสริมการขายต่อกลุ่มประชากรเปราะบางต่อการเกิดปัญหาจากการบริโภค ในที่นี้ เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้หญิง กลุ่มนักดื่มที่ดื่มหนักและติดสุรา เป็นต้น 4) จุดอ่อนที่สำคัญของประเทศไทยในการจัดการปัญหาคือการควบคุมคุมการเข้าถึงทางกายภาพ ควรต้อง”ทบทวนระบบใบอนุญาตขายและบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” แบ่งประเภทใบอนุญาตตามสถานที่ที่มีที่นั่งดื่ม (on premise) และสถานที่ไม่มีที่นั่งดื่ม (off premise) ซึ่งสองประเภทเกี่ยวข้องกับการผลกระทบของการดื่มแตกต่างกัน กระบวนการออกใบอนุญาต คุณสมบัติผู้ประกอบการ ค่าธรรมเนียมและการต่ออายุในอนุญาตแต่ละควรออกแบบให้สะท้อนมิติการจำกัดการเข้าถึงของผู้บริโภคและความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากการดื่มด้วย และ5) ประเทศไทยควรยกระดับมาตรการภาษีสุราและการควบคุมกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และควรพิจารณาสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อจัดการปัญหาที่เป็นประเด็นข้ามพรมแดน เช่น การโฆษณาทางสื่อ ดิจิตัล การค้าและลงทุนระหว่างประเทศ


No comments