ที่ประชุมระดับโลกเรียกร้องนโยบายคุมแอลกอฮอล์เข้มแข็ง ชมลิทัวเนียต้นแบบห้ามโฆษณาทุกรูปแบบ
การประชุมระดับโลกเรียกร้องนโยบายควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็ง ชื่นชมลิทัวเนียเป็นต้นแบบห้ามโฆษณาทุกรูปแบบ ด้านเจ้าภาพแอฟริกาใต้เสียใจกฎหมายถูกดองกว่า 7 ปี หวังประชุมครั้งนี้รัฐบาลจะทำให้เกิดจริง ส่วนไทยกังวลที่นโยบายควบคุมแอลกอฮอล์อาจะถูกเปลี่ยนแปลงให้แย่ลง
เมื่อวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566 คณะผู้แทนประเทศไทยได้ร่วมงานประชุมนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลก ครั้งที่ 7 (Global Alcohol Policy Conference 2023) เมืองเคปทาว์น ประเทศแอฟริกาใต้ ในหัวข้อหลัก “ประชาชนมาก่อนกำไร – รวมพลังผลักดันอนุสัญญาควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ซึ่งเป็นการประชุมนานาชาติครั้งสำคัญของโลกที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 521 คน จาก 55 ประเทศทั่วโลก
ศ.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ทุกประเทศมีฉันทามติร่วมกันคือ ต้องการอนุสัญญาเพื่อการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับโลก เพื่อให้มีมาตรการที่เข้มแข็งในระดับเช่นเดียวกับที่องค์การอนามัยโลกได้ใช้ในการควบคุมยาสูบมาก่อน เนื่องจากธุรกิจแอลกอฮอล์มุ่งทำตลาดเพื่อสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านออนไลน์ การตลาดข้ามพรมแดน การตลาดมุ่งเป้ากลุ่มผู้หญิงและเด็กเยาวชน การตลาดในกีฬางานประเพณีเทศกาล การใช้ตราเสมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการโฆษณาแอลกอฮอล์ 0% ซึ่งสมาชิกแต่ละประเทศต้องไปผลักดันให้รัฐบาลของประเทศสนับสนุนให้เกิดขึ้นต่อไปทั้งนี้ ในการประชุมมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการนำเอานโยบายแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งมาปฏิบัติในประเทศที่มีความก้าวหน้า โดยเฉพาะนโยบาย SAFER Initiative ที่เป็นชุดนโยบายแอลกอฮอล์ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติ นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอเครื่องมือในการเฝ้าระวังการตลาดในโชเชียลมีเดียโดยใช้ระบบ AI (Artificial Intelligence) มาจัดการกับโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกระทรวงสุขภาพและกระทรวงสารสนเทศของประเทศเวียดนามเป็นสองกระทรวงหลักร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมที่พัฒนาเครื่องมือและนำผลการตรวจจับนี้ไปดำเนินการต่อ การแลกเปลี่ยนการใช้มาตรการภาษีซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้กับรัฐและลดการดื่มและปัญหาจากแอลกอฮอล์ การควบคุมสถานที่ดื่มสถานที่ขายในชุมชน การติดข้อความคำเตือนในภาชนะบรรจุ และการแก้ปัญหาโดยพลังชุมชน สิทธิมนุษยชนกับแอลกอฮอล์ กลุ่มชาติพันธ์กับปัญหาแอลกอฮอล์ กลุ่มผู้หญิงและเด็กที่สัมพันธ์กับปัญหาแอลกอฮอล์ เป็นต้น โดยประเทศไทย ได้มีการนำเสนอบทเรียน ได้แก่ แนวทางการประเมินผลนโยบายแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด การประเมินยุทธศาสตร์การสนับสนุนการแก้ปัญหาแอลกอฮอล์ และสารเสพติดของ สสส. และสถานการณ์การแก้ไขมาตรา 32 แห่งกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเทศไทย เป็นต้น
ด้านประเทศแอฟริกาใต้ เจ้าภาพจัดงาน โดยเครือข่ายประชาสังคมได้ลุกขึ้นยกป้ายเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมของแอฟริกาใต้ ได้อ่านข้อความ และยืนยันว่าประเทศนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็ง เพราะตนได้ร่วมรับฟังบทเรียนจากประเทศต่าง ๆ ที่มาร่วมประชุมครั้งนี้แล้วเห็นว่า เกิดประโยชน์จริงและจะช่วยให้พัฒนาสังคม และครอบครัวโดยเฉพาะการเก็บภาษีที่จะเพิ่มรายได้รัฐบาลและนำเอารายได้มาช่วยเหลือประชาชนเมื่อวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566 คณะผู้แทนประเทศไทยได้ร่วมงานประชุมนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลก ครั้งที่ 7 (Global Alcohol Policy Conference 2023) เมืองเคปทาว์น ประเทศแอฟริกาใต้ ในหัวข้อหลัก “ประชาชนมาก่อนกำไร – รวมพลังผลักดันอนุสัญญาควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ซึ่งเป็นการประชุมนานาชาติครั้งสำคัญของโลกที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 521 คน จาก 55 ประเทศทั่วโลก
ศ.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ทุกประเทศมีฉันทามติร่วมกันคือ ต้องการอนุสัญญาเพื่อการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับโลก เพื่อให้มีมาตรการที่เข้มแข็งในระดับเช่นเดียวกับที่องค์การอนามัยโลกได้ใช้ในการควบคุมยาสูบมาก่อน เนื่องจากธุรกิจแอลกอฮอล์มุ่งทำตลาดเพื่อสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านออนไลน์ การตลาดข้ามพรมแดน การตลาดมุ่งเป้ากลุ่มผู้หญิงและเด็กเยาวชน การตลาดในกีฬางานประเพณีเทศกาล การใช้ตราเสมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการโฆษณาแอลกอฮอล์ 0% ซึ่งสมาชิกแต่ละประเทศต้องไปผลักดันให้รัฐบาลของประเทศสนับสนุนให้เกิดขึ้นต่อไปทั้งนี้ ในการประชุมมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการนำเอานโยบายแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งมาปฏิบัติในประเทศที่มีความก้าวหน้า โดยเฉพาะนโยบาย SAFER Initiative ที่เป็นชุดนโยบายแอลกอฮอล์ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติ นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอเครื่องมือในการเฝ้าระวังการตลาดในโชเชียลมีเดียโดยใช้ระบบ AI (Artificial Intelligence) มาจัดการกับโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกระทรวงสุขภาพและกระทรวงสารสนเทศของประเทศเวียดนามเป็นสองกระทรวงหลักร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมที่พัฒนาเครื่องมือและนำผลการตรวจจับนี้ไปดำเนินการต่อ การแลกเปลี่ยนการใช้มาตรการภาษีซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้กับรัฐและลดการดื่มและปัญหาจากแอลกอฮอล์ การควบคุมสถานที่ดื่มสถานที่ขายในชุมชน การติดข้อความคำเตือนในภาชนะบรรจุ และการแก้ปัญหาโดยพลังชุมชน สิทธิมนุษยชนกับแอลกอฮอล์ กลุ่มชาติพันธ์กับปัญหาแอลกอฮอล์ กลุ่มผู้หญิงและเด็กที่สัมพันธ์กับปัญหาแอลกอฮอล์ เป็นต้น โดยประเทศไทย ได้มีการนำเสนอบทเรียน ได้แก่ แนวทางการประเมินผลนโยบายแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด การประเมินยุทธศาสตร์การสนับสนุนการแก้ปัญหาแอลกอฮอล์ และสารเสพติดของ สสส. และสถานการณ์การแก้ไขมาตรา 32 แห่งกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเทศไทย เป็นต้น
ศ.พญ.สาวิตรี กล่าวตอนท้ายว่า คณะผู้แทนจากประเทศไทยจะรวบรวมข้อค้นพบ บทเรียน และโอกาสที่ได้จากการประชุมครั้งนี้มาพูดคุยและปรับประยุกต์ใช้ในประเทศต่อไป รวมทั้ง การได้รับโอกาสให้ประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานให้เกิดเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์ในภูมิภาคเอเชีย เช่นเดียวกับที่ภูมิภาคแอฟริกามีเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่จะต้องไปสานต่อต่อไป
No comments