เบาหวานอย่าเบาใจ... หนุน “ดิจิทัลโซลูชันเฉพาะบุคคล iPDM” ยกระดับดูแลสุขภาพผู้ป่วย
.jpg)
โรคเบาหวานจัดเป็น 1 ใน 5 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในประเทศไทย มีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และ 40% ไม่ทราบว่าตัวเองป่วย สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการคัดกรองเบื้องต้น การติดตามผล และการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียมและทันสมัย และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไทยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม เนื่องจาก ช่องว่างในการคัดกรองและการรักษา ทำให้ในปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญความท้าทายในการเข้าถึงยารักษาและเทคโนโลยีติดตามอาการใหม่ๆ อย่างเท่าเทียมโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
.jpg)
ผู้บริหารของโรชชี้ว่า
การวินิจฉัยโรคมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการแพทย์มากถึง 70% แต่กลับได้รับงบประมาณเพียง 2–3% ของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข โรชจึงมุ่งมั่นผลักดันให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญนี้และผลักดันพันธกิจในการส่งมอบโซลูชันการวินิจฉัยที่มีความสำคัญ
เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจคัดกรองเบื้องต้น
ไปจนถึงการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง โดยเชื่อว่าการดูแลผู้ป่วยจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อแพทย์เข้าใจผู้ป่วยอย่างลึกซึ้ง และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว
และเป็นรายบุคคล
.png)
.jpg)
ทั้งนี้แนวทางสำคัญของโรช เรียกว่า “การจัดการเบาหวานแบบเฉพาะบุคคลอย่างบูรณาการ (iPDM)” ซึ่งรวมเอาอุปกรณ์ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (BGM) ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันดิจิทัล สำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ และทีมดูแลสุขภาพแบบสหสาขาเข้าด้วยกันในระบบที่มีโครงสร้างและนำไปใช้ได้จริง
.jpg)
ด้านรศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาธิการสมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทยฯกล่าวว่า “หลายประเทศ รวมถึงไทย กำลังเผชิญวิกฤตเบาหวาน มีผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่ได้รับการวินิจฉัย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือกลุ่มเปราะบาง การขาดแคลนเครื่องมือและยาใหม่ๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ โครงการนำร่องแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่ช่วยติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ (CGM) และแอปการจัดการภาวะเบาหวานสามารถยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและควบคุมโรคได้ดีขึ้น หากเราเร่งลงทุนและขยายการเข้าถึง เทคโนโลยีเหล่านี้จะเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์กับชีวิตจริง ทำให้ผู้ป่วยจัดการโรคได้ด้วยตนเองและมีสุขภาพที่ดีขึ้น ปัจจุบันมีสถานพยาบาลหลายแห่งของไทยนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้
“การนำอุปกรณ์เครื่องมือดิจิทัลมาใช้ช่วยให้ผู้ป่วยรู้ภาวะโรคของตัวเอง
มีข้อมูลให้แพทย์ ช่วยลดภาระแพทย์ในการดูแลผู้ป่วย ทำให้วางแผนรักษาดูแลผู้ป่วยได้ดี”
นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาจากอินเดียที่ Jothydev’s Diabetes Research Centre ได้ใช้ระบบดูแลเบาหวานทางไกล (DTMS) ด้วยการติดตามระดับน้ำตาลและการโค้ชแบบเฉพาะบุคคล
โดยใช้งบเพียงเดือนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการดูแลที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และคุ้มค่าต่อการลงทุน
ส่วนข้อมูลจากศาสตราจารย์จูเลียนา ชาน
ผู้อำนวยการสถาบันโรคเบาหวานและโรคอ้วนแห่งมหาวิทยาลัยจีนฮ่องกง ยังพบว่า โครงการศึกษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สภากาชาดไทย ซึ่งศึกษาประสิทธิภาพของการดูแลผ่านระบบทางไกล แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ใช้เทคโนโลยีสามารถควบคุมน้ำตาลได้ดีกว่ากลุ่มที่จดบันทึกด้วยกระดาษ
ทั้งในระยะ 12 และ 24
สัปดาห์
ในขณะที่มีการศึกษาในสิงคโปร์
ฟิลิปปินส์และฮ่องกง ที่มีการใช้เครื่องตรวจน้ำตาลร่วมกับแอปสุขภาพบนมือถือพบว่า
ช่วยให้ผู้ป่วยจัดการโรคเบาหวานได้ดีขึ้นเช่นกัน
“CGM ได้ปฏิวัติการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
แต่ในประเทศรายได้ต่ำยังมีปัญหาในการเข้าถึงเครื่องมือ ความรู้
และการสนับสนุนที่จำเป็น หากจะอุดช่องว่างนี้ เราต้องสร้างความตระหนัก
ส่งเสริมการคัดกรองเชิงรุก และดูแลผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคล
โดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับการรักษาจริง”
No comments